สองนักแสดงสาว ‘ฟรีน สโรชา’ และ ‘เบ็คกี้ รีเบคก้า’ จากซีรีส์เรื่อง ‘ทฤษฎีสีชมพู GAP The Series’ ได้พกเพลงพิเศษ “ทฤษฎีรักนี้สีชมพู (Pink Theory)” มาร้องให้ได้ฟังกันแบบสด ๆ ในรายการ Song Story พร้อมกับเรื่องราวประทับใจที่พวกเธอมีร่วมกันและความสำเร็จอีกก้าวในวงการบันเทิงที่ได้เติบโตไปพร้อมกัน

Song Story EP นี้อยู่กับ ฟรีน เบ็คกี้
ฟรีนเบ็คกี้: สวัสดีค่า
ตั้ม: เปิดให้ตรงเรื่องตรงราวไปเลย แบบทฤษฎีสีชมพูกันไปเลย
โดม: ถูกต้อง
ตั้ม: เป็นที่ประจักษ์ว่าเรื่องนี้ดัง
โดม: ใช่ ก่อนอื่นเลย ขอแสดงความยินดีกับหลาย ๆ รางวัล
เบ็คกี้: ขอบคุณค่ะ
โดม: หลาย ๆ ความสำเร็จที่ได้มาของทั้งสองคน เป็นที่พูดถึงเยอะมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จริง ๆ แล้วเราก็ได้มีโอกาสทำงานกับผู้กำกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ ครูเอ ครูเอบอกว่าอยากชวนน้อง ๆ มา
โดม: เพราะฉะนั้นเราได้รับรู้เรื่องความน่ารักของน้อง ๆ จากครูเอมาด้วย แล้วก็ จริง ๆ เราได้มีโอกาสได้เจอกันนิดหน่อย ที่ NineEntertain Awards
ฟรีน: ใช่ค่ะ
โดม: ขอแสดงความยินดีด้วย
เบ็คกี้: ขอบคุณค่ะ
โดม: สาขาที่ได้ในวันนั้นคืออะไร
ฟรีน: ขวัญใจมหาชน ค่ะ
โดม: นี่
ตั้ม: ไม่ธรรมดานะ ขวัญใจมหาชน นะ
โดม: ถูกต้อง เพราะว่าจริง ๆ นะ รางวัลนี้เขามอบมาหลายปีแล้วนะ ในช่วงที่ผ่านมา อย่างช่วงสมัยของพี่ก็คือ
ตั้ม: ยุคนั้นคือ พี่เบิร์ด พี่บี้ พี่อั้ม แถว ๆ นี้เลย
โดม: และนี่คือขวัญใจมหาชนปีล่าสุด จาก NineEntertain Awards ปรบมือ
ฟรีน: ขอบคุณค่า

ตั้ม: ต้องบอกว่าไม่แปลกใจเลย เมื่อกี้นั่งฟังน้องสองคนร้องเพลงแล้วรู้สึกว่า ทำไมสดใสจังเลยทำไมดูน่ารักจังเลย และด้วยผลงานที่แสดงออกไปอย่าง ‘ทฤษฎีสีชมพู’ เนาะ จากกระแสตอบรับ เราพอใจมั้ย แบบว่าเราคาดหวังมาก่อนหน้านี้มั้ยว่าจะขนาดนี้
ฟรีน: เกินคาดค่ะ ใช้คำว่าเกินคาดเลย เพราะว่าตอนแรกที่ทำคือ
เบ็คกี้: เราไม่ได้คาดหวังไว้ว่าจะมาถึงตรงนี้เลยค่ะ
ฟรีน: มีหกล้มไปก่อนรอบนึงค่ะ
ตั้ม: ยังไงอะ
ฟรีน: มีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นขณะถ่ายทำด้วย พอปล่อยผลงานออกมาก็หกล้มแหละ ใช้คำว่าหกล้ม
เบ็คกี้: ใช่
ฟรีน: แต่เราก็สู้
เบ็คกี้: ค่อย ๆ มาดูว่าหกล้มตรงไหนแล้วก็ค่อย ๆ แก้ค่ะ
ฟรีน: ใช่ แล้วก็ถ่ายกันต่อ
โดม: ก็ถือว่าไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบขนาดนั้น
ฟรีน: ใช่
โดม: แต่ด้วยความเชื่อของทั้งสองคนเอง แล้วก็คนในทีมทุกคน เขาก็คงอยากจะผลักดันผลงานให้ออกมาดีที่สุดอะเนาะ
ฟรีน: ใช่ค่ะ
โดม: ถ่ายทำกันกี่เดือนเหรอตอนนั้น
ฟรีน: หู้ววว เป็นปีอะ
เบ็คกี้: เป็นปีเลยค่ะ หนูก็นึกว่า เอ๊ะ โปรเจกต์นี้มันจะถึงไหน
โดม: ได้ Workshop มั้ย
ฟรีน: ได้ค่ะ
เบ็คกี้: มีนิดนึงค่ะ แต่อุปสรรคที่เจอส่วนใหญ่ก็จะมีเรื่องโควิด เรื่องป่วย อีกหลาย ๆ เรื่องเลย
โดม: ผมชอบเวลาเค้าคุยกันอะ
ตั้ม: ทำไมอะ
โดม: เขาจะมองกันตลอด
ตั้ม: อ้าว ก็คนเขาทำงานด้วยกัน เขาสนิทสนมกันน่ะคุณ
โดม: ผมก็ทำงานกับคุณ ยังไม่อยากมองหน้าคุณเลยทุกวันนี้
ตั้ม: ขอโทษนะ ทุกวันนี้น้อง ๆ อาจจะทำงานกันแล้วก็รักกัน พวกพี่เรื่องเงินล้วน ๆ เลย น้องอาจจะงงในเรื่องความสัมพันธ์ของพวกนี่อะเนาะ
โดม: ไม่อยากมองหน้ามันเลยทุกวันนี้อะ
ตั้ม: แต่ดีแล้วลูก เก็บไว้นะแบบนี้อะ ความสัมพันธ์แบบนี้

รู้จักครั้งแรกก็เพราะว่าได้ร่วมงานกันในซีรีส์ ‘ทฤษฎีสีชมพู GAP The Series’ ไหม
ฟรีน: จริง ๆ รู้จักกันตอน แอบหลงรัก
เบ็คกี้: เป็นซีรีส์อีกเรื่องนึง
ตั้ม: ใครแอบรักใคร
ฟรีน: เป็นซีรีส์
ตั้ม: อ๋อ ซีรีส์ใช่มั้ย
ฟรีน: ซีรีส์ชื่อว่า แอบหลงรัก ใช่ ช่วงนั้นหนูเล่นเป็นเพื่อนกันก่อน
โดม: ก็จะเป็นการขยายจักรวาลออกมาจากตัวละครนั้นอีกทีนึง
เบ็คกี้: ใช่ค่ะ
ตั้ม: ก็เรียกว่าสนิทกันมากขึ้นจากเรื่องนี้ด้วยปะ
ฟรีน: ด้วยค่ะ
เบ็คกี้: yep
ฟรีน: เยอะเลยค่ะ
ตั้ม: สนิทกันขนาดไหนครับ
เบ็คกี้: มาก ๆ ค่ะ เพราะว่าเราต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน จริง ๆ คือเจอกันทุกวันค่ะ
ตั้ม: คุยกันทุกเรื่อง
ฟรีน: ใช่ ทำงานเสร็จแยกกันนอน ตื่นมาเจอกันใหม่
โดม: ใน 1 วันเราก็เจอกันประมาณ 16 ชั่วโมง อยู่แล้วมั้ย
ฟรีน: นานกว่านั้นอีก
โดม: นานกว่านั้นอีก?
ฟรีน: จริง ๆ หนูเคยแยกกันไปนอนแค่ 3 ชั่วโมง ก็มี
เบ็คกี้: แล้วก็เจอกันแล้ว
ฟรีน: ประมาณนั้น

โดม: ถือเป็นการทำงานที่ ถึงแม้ว่าจะต้องบากบั่นขนาดไหนแต่มันก็เต็มไปด้วยมิตรภาพที่ดีเนาะ เป็นความสุขมาก ๆ
เบ็คกี้: ใช่ค่ะ
โดม: จริง ๆ มันก็เห็นได้ในงานแหละ คือในงานที่ออกมาอะ มันเต็มไปด้วยความตั้งใจ แล้วก็ความรักความหวังดีซึ่งกันและกัน มันออกมาแล้วคนชอบมาก คุณคิดดูว่าคนดูจนมียอดวิว 500 ล้านวิว
ตั้ม: สำหรับเรา เราพูดในโมเมนต์ที่เราเป็นเด็กผู้ชายจ๋า ๆ เลยนะ เรามองว่าซีรีส์เรื่องนี้ เหมือนกับทำให้เรากับคนทั้งโลกได้เห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งใหม่นะ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน มันดีจังเลยที่ทำให้คนกล้าขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่า เออ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอะ
เบ็คกี้: ใช่
โดม: มันเป็นคำพูดเรื่องด้วยเนอะว่า love is love
เบ็คกี้: มันเป็นสัญญะค่ะ

เราได้มีโอกาสมีส่วนร่วมกับคอมมูนิตี้หรือการพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ขนาดไหน
เบ็คกี้: มันก็มีบางครั้งที่เรา have like a ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ ที่เรา zoom call อะ
ฟรีน: อ๋อ เป็นฟีลแบบแฟนคลับมาพูดให้เราฟัง ว่าเค้าอยากขอแฟนเค้าแต่งงาน
เบ็คกี้: ใช่
ฟรีน: จากเรื่องของเรา จากซีรีส์ของเรา
เบ็คกี้: มีคน relate เยอะมาก ๆ ค่ะ
ฟรีน: แล้วเราก็ร้องไห้ทุกครั้งที่มีคนมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้เราฟัง ซึ่งไม่ใช่แค่คนเดียว หลายคนมาก ๆ ที่พวกหนู respect สุด ๆ ว่าแบบ congratulations
เบ็คกี้: วันนั้นก็มีพี่แฟนคลับคนนึงให้เลือกการ์ดแต่งงาน
ฟรีน: แล้วเค้าก็ชอบมาอวดว่าจะแต่งงานแล้วนะ แต่งงานแล้วนะ
เบ็คกี้: แล้วเขาก็ใส่แหวนมาด้วย
ฟรีน: แล้วหนูรู้สึกว่าน่ารักอะ
เบ็คกี้: ใช่ ๆ
ตั้ม: ดีเนาะ แล้วเราก็รู้สึกดี มีกำลังใจด้วย
เบ็คกี้: ใช่ค่ะ
ตั้ม: มันรู้สึกมากกว่าแค่ได้เล่นละครไปเรื่องนึง
โดม: ใช่ มันก็คือความตั้งใจทั้งของตัวน้อง ๆ และทีมงานแหละ ด้วยความที่มันเป็นซีรีส์ yuri เนาะ girl’s love เรื่องแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ หมายถึงที่จริงจังขนาดนี้
เบ็คกี้: ใช่
โดม: นอกจากจะทำให้ทุกคนได้ฟิน ได้ยิ้ม ได้มีความสุขแล้ว มันก็ทำให้คนได้นึกถึงประเด็นนี้ในสังคม อย่างที่ตั้มบอกแหละว่ามันมีเรื่องราวนี้อยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้ถูกหยิบมาพูดถึงอย่างจริงจัง
เบ็คกี้: ใช่ค่ะ
ตั้ม: อย่างบางคนไม่เข้าใจตัวเองก็ได้เข้าใจตัวเองเลยนะ
โดม: จริง
ตั้ม: บางคนแบบว่า ทำไมฉันจะต้องตอบทุกคนด้วยว่าฉันชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ฉันรักคนนี้อะ ฉันรักคุณ ทำไมต้องระบุ นึกออกมั้ย
โดม: มีอะไรอยากบอกมั้ย บางทีมันมีคนได้แรงบันดาลใจจากสิ่งเหล่านี้มาก ๆ
ฟรีน: จริง ๆ หนูมองว่า รู้สึกกับใคร รู้สึกอะไร ชอบก็รู้สึกไปเลยค่ะ ไม่ต้องมาตั้งคำถาม ไม่ว่าจะทั้งตัวเองและคนรอบข้างด้วย love is love ค่ะ รักได้เลยค่ะ

โดม: เห็นด้วยครับ
เบ็คกี้: หนูมองว่า it’s ok to like girl, boy to like both gender to be unsure. It’s ok like everyone experience.
ฟรีน: ใช่
โดม: เดี๋ยวให้ตั้มแปลเลย
ทีมงาน: กำลังจะบอกเลยเมื่อกี้ตอนเห็นหน้ามัน อะ ทีละประโยคครับพี่ตั้ม
ตั้ม: มึงนั่ง อือ อยู่คนเดียว
โดม: ก็เห็นตั้มดูเข้าใจไง ก็เลยอยากให้แปลให้ท่าผู้ชม
ตั้ม: มึงจัดรายการกับตั้ม วราวุธ ไม่ใช่ครูลูกกอล์ฟ
โดม: แต่แฟน ๆ ของเค้าก็เป็นแฟน ๆ จากทั่วโลกก็ว่าได้
เบ็คกี้: ใช่
โดม: แฟน ๆ เรื่องนี้ ความรักมันเป็น universal เนาะ เป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจ ไม่ต้องมีภาษาอะไรอื่น เบ็ค มันคือ feeling ของเรา
ฟรีน: อารมณ์ความรู้สึก
ตั้ม: แล้วพอเรื่องนี้มันเป็นจุดกำเนิด คนก็กล้าออกมาพูดมากขึ้น กล้าออกมาแสดงออกมากขึ้น กลายเป็นว่าเราได้รู้เรื่องราวของคู่รักที่เป็นแบบนี้หลาย ๆ คู่ แล้วรู้สึกว่ามันน่ารักจังเลย ตอนเด็ก ๆ จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องผิดหวัง
โดม: ใช่มั้ย
ตั้ม: ทำไมชายรักชาย หญิงรักหญิง ไม่สมหวังหรอก อนาคตไม่มีหรอก เราเคยโดนปลูกฝังมาแบบนี้ในสมัยก่อน
โดม: ใช่ ๆ เป็นความเชื่อ ความรู้สึกของคนในสมัยนั้น ว่าเป็นความรักที่มันผิดประเพณี ผิดจารีต หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วมันถูกทำให้ภาพที่ออกมารู้สึกได้ว่า Blue มันเป็นสีน้ำเงิน ที่ดูเป็นความโศกเศร้า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ฉีกสิ่งเหล่านั้นออกไป รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกความรัก มัน possible มันเกิดขึ้นได้จริง
เบ็คกี้: ใช่ค่ะ
โดม: ดีใจมั้ยที่วันนึงเราได้มีโอกาส มาเป็นส่วนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนสังคมไปอีกหนึ่งมิติ
ฟรีน: ดีใจค่ะ ถึงบอกว่ามันเป็นจุดเล็กมาก ๆ แต่พอรวมกันแล้วมันใหญ่เลย ใหญ่สุด ๆ อะ ดีใจมาก

โดม: อายุเท่ากันมั้ย
ฟรีน: น้องอายุ 20 หนูอายุ 24
โดม: แต่ว่าในเรื่องอายุ
ฟรีน: อีกนิดนึงจะ 25 แล้ว ถ้าในเรื่องหนูอายุ 30 up ค่ะ ต้องเป็นประธานบริษัท
โดม: ไหนลองพูดประโยคนี้ ฉันคือประธานบริษัท
ฟรีน: ฉันคือนานุดต่างดาว เอาแบบนี้ได้มั้ย
โดม: เก่ง ๆ เลิศ
ตั้ม: ก็คือห่างกัน 8 ปี ถูกมั้ย
ฟรีน: ใช่ค่ะ
โดม: แล้วมันจะจูนกันยังไงในเมื่อเราต้องเล่นด้วยกัน คือถ้าเราต้องเล่นเป็นคนที่ relate กันมาก ๆ ไรงี้ เรื่องวัย หรือเรื่อง lifestyle มันมีความเกี่ยวเหมือนกันนะ

ฟรีน: น้องในเรื่องอายุเท่าไหร่นะคะ
เบ็คกี้: ประมาณ 23
ฟรีน: ประมาณจบใหม่ แล้วกำลังฝึกงาน ประมาณนั้น ถามว่า ตัวหนูกับตัวละครนี้ค่อนข้างต่างมาก contrast กันเลย เพราะต้องนิ่ง เงียบ คิดอะไรก็ไม่รู้เลย ต้องแสดงออกทางสายตาเท่านั้น มันจะทำให้ยากมากที่จะเล่นเป็นเค้า ช่วงแรก ๆ ก็กดดัน ก็ต้องทำความเข้าใจกับเค้าเยอะมาก
เบ็คกี้: เก่งค่ะ ๆ
ตั้ม: ซึ่งเอาจริง ๆ บทที่น้องเล่นกัน ด้วยเรื่อง สำหรับเรามันถือเป็นเรื่องใหม่ ไม่ได้ค่อยถูกพูดถึง เพราะเราเป็นคู่แรก ๆ
โดม: มันก็จะไม่มี reference
ตั้ม: 1 ไม่มี reference 2 ความเข้าใจ ความเข้าใจของตัวละคร
ฟรีน: ยากมาก พอไม่มี reference อย่างที่พูดถึง หนูไม่รู้เลยว่าต้องออกมาเป็นแบบไหน
เบ็คกี้: เป็นการบ้าน
ฟรีน: ใช่ค่ะ
โดม: แล้วเราทำยังไง หมายถึงต้องผ่านกระบวนไหน workshop มั้ย
ฟรีน: workshop นิดหน่อยค่ะ
เบ็คกี้: ดู คาแรกเตอร์ แบ็คกราวน์ อย่างของหนูคือ ม่อน ครอบครัวเขาเป็นยังไง เพื่อนเป็นยังไง ที่มาของเค้าเป็นมายังไง ทำไมถึงโตมาแล้วเป็นแบบนั้น
ตั้ม: อ๋อ เอาแบ็คกราวน์ ความรู้สึก มาซัปพอร์ตปัจจุบัน
เบ็คกี้: ใช่
ตั้ม: อันนี้เข้าใจนะ ครูสอนแอ็กติงเก่งนะเนี่ย
เบ็คกี้: ครูเอ ค่ะ
ตั้ม: น้อง ๆ ทำการบ้านมาอย่างดี แล้วก็ทำให้คนรู้สึกถึงตัวละครได้จริง ๆ ทำให้ได้รางวัลมากมาย
โดม: ถูกต้อง
ตั้ม: แน่นอนแหละว่าการแสดงของน้องก็ดีด้วย เนื้อเรื่องก็สะท้อนสังคมได้ดีด้วย แล้ววันนี้มันขับเคลื่อนไป 500 ล้านวิว ก็คือมันไม่ใช่อยู่แค่เมืองไทยแล้ว
เบ็คกี้: international
โดม: มันไปทั้วโลก ที่สำคัญกว่าการได้รับรางวัล คือเราได้มีโอกาสพูดประเด็นนี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ แล้วก็สร้างทัศนคติใหม่ ๆ เกี่ยวกับความรักของ LGBTQ+ ว่ามัน no more blue ไม่มีความเศร้าแบบที่เคยเชื่อกันมาอีกต่อไป

ถ้าให้พูดถึงกันและกันสักหน่อยได้มั้ย
หลังจากที่ ฟรีน – เบ็คกี้ ได้ร่วมงานกันมาร่วมปีก็มีความรู้ใจกันในระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องที่ชอบ ไม่ชอบ และความเป็นห่วงที่พวกเธอมีให้กันและกัน จับมือเติบโตไปด้วยกัน ติดตามรับชมวิดีโอสัมภาษณ์แบบเต็ม ๆ ทาง YouTube: beartaiBUZZ
