[รีวิว] ครั้งหนึ่งที่รัก The Best Story EP. 2-3 : ซีรีส์จบแล้ว แต่เรายังไม่จบ !
By Putto
เชื่อมั้ยว่า นี่แทบจะไม่ใช่ Love story แล้ว! แทบจะเป็นดราม่าเรื่องนึง! แทบจะไม่เหลือน้ำตาให้เช็ดหัวเข่าแล้วอ่ะ! อะไรมันจะอินกันขนาดนี้ ถ้าใครได้ดูตอนจบของ ‘The Best Story – ครั้งหนึ่งที่รัก’ ซีรีส์วายสไตล์คนแอบรักแต่ไม่กล้าบอก ที่เพิ่งปิดฉากลงไปเมื่อไม่นานมานี้ คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บีบหัวใจคนดูสุดๆ จนกระทั่งนาทีนี้ก็ยังทำเรามูฟออนต่อไม่ได้เลย (ทำไงดี?) หลายคนที่ได้ดูถึงกับรีเควสขอซีรีส์ภาคต่อกันรัวๆ เพราะค้างกับฉากจบที่ทำให้เอฟซี ‘หยิ่นวอร์’ หรือเหล่า‘หมูยอ’ตัวน้อยๆ ไปต่อกันไม่ไหว ถึงกับติดแฮชแทก #ครั้งหนึ่งที่รักตอนจบ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งข้ามวันข้ามคืนแบบนอนสต๊อปเป็นล้านๆทวิตกันเลยทีเดียว
ใครที่ยังไม่เคยดู เราขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นซีรีส์เรื่องที่ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่คุณไม่ควรพลาด วันนี้อยากจะมาขอเล่าย้อนไปตอน EP.2 กันก่อนเผื่อใครที่ยังไม่ได้ดูจะได้รู้เนื้อหามากขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่เบส (แสดงโดย วอร์-วนรัตน์ รัศมีรัตน์) กำลังจะถอดใจ เลิกแต่งเพลงสารภาพรักดิว (แสดงโดย หยิ่น-อานันท์ ว่อง) เพราะคิดว่าดิวกับเฟิร์น (แสดงโดย มาสา-มาริสา คิทเทลเบอร์เกอร์) เพื่อนสาวคนสนิท ชอบกันแล้ว ไบร์ทกับเรย์ (แสดงโดย ปรัชญ์-อิทธิชัยเจริญ และ วิน-ธนาคม) ไอ้ต้าวเพื่อนซี้ทั้งสองก็รีบเข้ามาช่วยเชียร์ให้เบสอย่าเพิ่งท้อไปซะก่อน เพราะตอนนี้อะไรๆ ก็ยังไม่ชัดเจน เบสยังมีโอกาส พวกนางก็เลยพาเบสไป ‘รุก’ ดิวถึงที่สนามบาส และขอให้ดิวช่วยสอนเบสชู้ทบาสให้เก่งขึ้น เพราะอาทิตย์หน้าจะมีสอบวิชาพละ ฝ่ายดิวก็รับคำขอด้วยความเต็มใจ เนื่องจากอยากไถ่โทษที่เคยทำลูกบาสหล่นใส่หัวเบสคราวก่อน ในเมื่อเพื่อนๆ ปูทางให้ขนาดนี้ เบสจึงได้มีเวลาอยู่กับดิวซะที ถึงแม้จะเป็นแค่ไม่กี่นาทีสั้นๆใต้แป้นบาส แต่โมเม้นท์นี้แหละที่ทำให้เบสรู้สึกมีความสุขเหมือนลอยอยู่บนสวรรค์ การได้ใกล้ชิดกับคนที่เราชอบแบบสองต่อสอง นี่มันไม่ได้หาโอกาสกันได้ง่ายๆ นะ โอ๊ยยเขินแทนอ่ะ มันดีต่อใจอะไรอย่างนี้ (เราคนดูก็แบบรู้สึกปลื้มปริ่มไปกับเค้าด้วยเน๊อะ)
และแล้วใจของเบสกลับมาพองฟูอีกครั้งหลังจากวันนั้น เขาอยากขอบคุณดิว (จริงๆ คือก็คืออยากหาเรื่องไปเจอเค้านั่นแหละ) ลงทุนแอบตามเขาไปถึงห้องสมุด แต่ก็ตื่นเต้นจนต้องไปหลบอยู่หลังชั้นหนังสือ แต่แล้วในขณะที่เบสกำลังรวบรวมความกล้าอยู่นั้น เฟิร์นก็เดินตัดหน้าเข้ามาหาดิวทันที โอ๊ยย! คืออะไร!? สุดท้ายเบสได้แต่คอตกกลับมาอีกเช่นเคย แต่เพื่อนๆ ก็เชียร์อัพไม่เลิก ไม่ยอมให้เบสล้มเลิกความตั้งใจนี้ง่ายๆ ยังบอกให้เบสไปสารภาพรักกับดิวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย นี่!
เช้าวันต่อมาในขณะที่เบสวิ่งลงบันไดไปส่งการบ้าน ระหว่างทางชนเข้ากับดิว ทำให้สมุดแต่งเพลง ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่เบสใช้เขียนไดอารี่บันทึกความรู้สึกที่มีต่อดิวหล่นหายไป เบสสงสัยว่าดิวอาจจะเก็บสมุดของเขาไป เลยวางแผนกับเพื่อนๆ แอบไปค้นกระเป๋าดิว แต่ก็ไม่เจอ เขารู้สึกว้าวุ่นใจมากที่สมุดหายไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เบสใช้เวลาระหว่างปิดเทอมแต่งเพลงให้ดิว
ตัดภาพมาที่ห้องชมรมดนตรี เปิดเทอมใหม่แล้ว กลุ่มเพื่อนของดิว เดฟและต้า (แสดงโดย บอนซ์ -ณดล และ บีเวอร์ – พรรษพล) กำลังหานักร้องนำและมือกีตาร์คนใหม่อยู่พอดี และแล้วก็ได้ชักชวนเบสเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของชมรม เพราะไปเห็นฝีไม้ลายมือการเล่นกีตาร์และร้องเพลงของเบสเข้าโดยการแนะนำของใครบางคน ตอนนั้นคือเบสกำลังฝึกเล่นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อบอกชอบดิว เพลงนั้นคือ ‘เพลงมุม – จากวง Playground’ ซึ่งมีเนื้อร้องและทำนองที่สื่อความหมายได้ดีในมุมของคนแอบรักเงียบๆ แบบเบส – “…ได้แอบมองเธอข้างเดียวอยู่ที่มุมนี้ก็พอแล้ว ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในความหวังดี แค่ได้ชอบเธออยู่ตอนนี้ ก็ถือเป็นโชคชะตาดีๆ ที่คนอย่างฉัน ได้เกิดมาพบกับเธอ…”
หลังจากที่เบสได้เข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีแล้ว เขาก็ได้ฝึกซ้อมเพลงที่ตัวเองแต่ง และได้เป็นนักร้องนำของวงขึ้นไปโชว์คอนเสิร์ตในงานโรงเรียน วันนั้นดิวไปดูเบสแสดงด้วย เขายืนมองเบสจากด้านล่างเวที ในขณะนั้นเอง เฟิร์นเข้ามาเห็นดิวที่กำลังยืนมองเบสอยู่ด้วยสายตาที่พิเศษเกินกว่าจะรับได้ มันทำให้เฟิร์นรู้สึกเสียใจ เธอไม่สามารถทนดูภาพตรงหน้าได้ และวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที
ดูเหมือนว่า EP.นี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงของดิวเข้าซะแล้ว เพราะจากบุคลิกภายนอกที่ดูนิ่งๆ ไม่แสดงออกอะไร แต่ใน EP.นี้กลับค่อยๆ เปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมาให้คนดูได้ลุ้นตามเรื่อยๆ ผ่านสายตาและท่าทางที่ส่งไปให้เบส ก็ดูท่าว่าจะไม่ทำให้กองเชียร์อย่างพวกเราผิดหวังแฮะ
และแล้วก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของซีรีส์ คือ EP.3 (ตอนจบ) มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นใน EP.นี้ ถ้าใครถามว่าเป็นไง บอกได้แค่ว่ามีแต่น้ำตาเต็มไปหมด (แง๊) มันจะมีทั้งช่วงซึ้งและเศร้าสลับกันไม่หยุด ทางทีมซีรีส์เก่งมากสามารถใส่ทุกอย่างให้อยู่ในเนื้อหาได้ภายในไม่กี่นาที และทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวและอารมณ์ของตัวละครได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากการแสดงคอนเสิร์ตในงานโรงเรียนของชมรมดนตรีจบลง เบสก็กลายเป็นหนุ่มป๊อบคนใหม่ของโรงเรียนทันที มีสาวๆ มาสมัครเป็น FC เต็มไปหมด จนดิวแสดงอาการหมั่นไส้ปนหงุดหงิด ซะเมื่อไหร่ล่ะ เค้าไม่ได้อิจฉาเบส แต่แค่ไม่อยากให้เบสเปลี่ยนไป อยากให้เบสเป็นคนเดิมที่เค้าสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อนต่างหาก จะว่าไปแล้วก็มีหลายฉากใน EP.นี้ที่ดูแล้วน่ารักใสๆ อย่างฉากที่นั่งกินข้าวในโรงอาหาร เป็นอะไรที่ธรรมชาติมาก ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศสมัยเรียนในโรงเรียนเลย เราว่าคอนเซปต์โรงเรียนไทยมีสิ่งปลูกสร้างและการออกแบบที่คล้ายกันมาก อย่างพวกอาคาร ห้องสมุด ห้องน้ำ หรือโรงอาหาร และสภาพแวดล้อม ที่หน้าตาถอดแบบมาเหมือนกันเป๊ะ จนคนดูทั่วๆไปสามารถอินได้กับฟิลลิ่งนี้
ตัดภาพมาที่เฟิร์น ซึ่งได้ไปสารภาพรักกับดิว แต่เขาปฏิเสธเพราะคิดกับเฟิร์นแค่เพื่อน เฟิร์นเสียใจมากแต่ก็ยอมรับและพร้อมจะเป็นเพื่อนกับดิวต่อไป เรื่องดำเนินไปเหมือนกับว่าจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างดิวกับเบสอีกแล้ว แต่เหมือนซีรีส์ได้ดึงเรากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ว่าถึงความรักที่พวกเขามีต่อกันจะบริสุทธิ์แค่ไหน ก็ยังมี ‘อำนาจ’ ที่ยิ่งใหญ่จาก ‘คนในครอบครัว’ ที่ทั้งสองไม่อาจต้านทานได้อยู่ดี
สำหรับเรา ฉากที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ในเรื่อง คือ การที่แม่ดิว ไม่อยากให้ดิวคบกับเบส เพราะรู้มาว่าทั้งสองคนเริ่มรู้สึกดีต่อกัน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกัน ฉากที่แม่ถามดิวว่า “รู้ใช่ไหมว่าเบสชอบผู้ชายด้วยกัน?” หรือฉากที่แม่บอกดิวว่า “ไม่อยากให้ดิวเป็นเหมือนเบส ถ้าวันหนึ่งดิวชอบผู้ชายด้วยกันแม่จะทำยังไง” แสดงให้เห็นว่าในทัศนคติของแม่ไม่เคยยอมรับในเพศอื่น นอกจากชายและหญิงเท่านั้น จะว่าไปแล้วแม่ดิว คงจะเป็นเสมือนตัวแทนของพ่อแม่อีกหลายคนในสังคมที่ไม่ยอมรับในเพศสภาพของลูก รับไม่ได้กับการที่ลูกชายจะคบหาดูใจกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งครอบครัวมีลูกคนเดียวด้วยแล้ว ความคาดหวังต่างๆ จึงตกไปอยู่ที่ดิวเต็มๆ พ่อแม่ที่มีความคาดหวังกับลูก และคิดว่าลูกจะดำเนินรอยตามจารีตของสังคมส่วนใหญ่ (ที่เต็มไปด้วยสัดส่วนของคู่รักชายหญิง) กลับไม่รู้เลยว่าพวกเขาได้ทำร้ายลูกทางอ้อมด้วยข้ออ้างจาก ‘ความหวังดี’ การให้ลูกปฎิเสธเนื้อแท้ภายในต่างหาก คือสิ่งที่ผิดพลาด เพราะมันเหมือนการสั่งให้ลูกปิดบังตัวตนตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วตัวเค้าเองรู้อยู่แก่ใจว่าเค้าต้องการอะไร เค้าควรได้รับสิทธิ์ในการเลือกมีชีวิตในแบบที่เค้าต้องการ ไม่ใช่การโดนบีบบังคับ
ถึงแม้ว่าเบสจะโดนกรอบของสังคมกั้น แต่เพื่อนๆ รอบตัวกลับไม่เป็นแบบนั้น เบสโชคดีที่มีเพื่อนซี้ที่คอยเข้าใจและยอมรับในตัวตนของเค้า แต่ดิวโชคร้ายที่เพื่อนสนิทของเค้ารับในสิ่งที่เค้าเป็นไม่ได้รวมถึงแม่ ซึ่งเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต กลับไม่เปิดโอกาสให้ดิวได้เลือกในสิ่งที่ตัวเขาต้องการ
พอดูมาจนถึงฉากสุดท้าย บอกได้คำเดียวเลยว่าพีค! จนเราไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่แฮชแทก #ครั้งหนึ่งที่รักตอนจบ ถึงติดเทรนด์ทวิตเตอร์ข้ามคืนข้ามวันได้ขนาดนี้ แม้ว่าซีรีส์จะจบไปแล้ว แต่ก็ยังติดอยู่ในใจคนดูแบบแกะไม่ออกเลย นอกจากการแอบรักในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเด็ก ม.ปลายแล้ว ซีรีส์แสดงให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของความรักในวัยเรียนว่าไม่ใช่การจุดเทียนอยู่กลางสายฝนอย่างที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันอีกต่อไป เพราะความรักคือแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาจนเป็นป๊อบสตาร์ของโรงเรียนได้ อย่างที่เบสทำ เค้ามุ่งมั่นและฝึกฝนแต่งเพลง เล่นดนตรี จนกลายเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นของโรงเรียน ทั้งหมดนี้เกิดจากแรงผลักดันและพลังด้านบวกที่มาจากการแอบชอบดิวล้วนๆ
และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ‘มิตรภาพระหว่างเพื่อน’ ที่หนังทำออกมาให้เห็นว่าหลายๆ ครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สดใส หรือแสนเศร้า เราผ่านมันมาได้เพราะ ‘เพื่อน’ เสมอ ความผูกพัน ความหวังดี และการเต็มใจช่วยแบบไม่มีอะไรกั้น มันคือของขวัญล้ำค่าที่เพื่อนได้มอบให้แก่กัน นอกจากนี้ซีรีส์ยังใช้ฉาก ‘การเขียนตัวหนังสือด้วยลายมือ’ของตัวละคร มาเป็น gimmic เล็กๆ แทนบทพูด ทำให้เรารับรู้อารมณ์ของตัวละครผ่านข้อความที่เค้าสื่อออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แบบนี้คนดูจะจดจำฉากสำคัญๆ ได้ดี เพราะมันเป็นการสื่อสารที่ไม่ผ่านคำพูด แต่พลัง impact ที่ส่งออกมานั้นมหาศาล
หนังยังใช้ ‘ปีสุดท้ายก่อนจบ ม.ปลาย’ มาเป็นเดดไลน์เงื่อนไขในการดำเนินเรื่องด้วย ปกติแล้วเวลาที่เราเจอกับอะไรที่เป็น ‘โอกาสสุดท้าย’ คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคว้ามันไว้ เพราะรู้ดีว่ามันจะไม่กลับมาหาเราอีก ช่วงชีวิตของการเป็นนักเรียน ม.ปลายปีสุดท้ายของเบสก็เช่นกัน เพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนจบ ที่จะได้บอกความรู้สึกต่อคนที่แอบชอบ เบสจึงให้ความสำคัญและทุ่มสุดตัว สำหรับเพลงประกอบซีรีส์ ซึ่งเลือกเพลงฮิตสมัยก่อน คือ ‘เพลงมุม’ ของ ‘วง Playground’ มารีเมคใหม่ ขับร้องโดย ‘วอร์-วนรัตน์’ และ ‘พี่ติ๊ก Playground’ รวมถึงเพลง ‘อยากพูดว่ารัก’ โดยบีเวอร์-พรรษพล ก็เข้ากับซีรีส์ได้ดีมากๆ จนทำให้เราต้องกลับไปวนฟังซ้ำๆ วันละหลายรอบ
หลังจากดูซีรีส์จบ เรานั่งนิ่งๆ แล้วก็นึกถึงคำพูดของ ‘หยิ่น’ และ ‘วอร์’ สองนักแสดงนำในเรื่อง พวกเขาเคยบอกไว้ในไลฟ์หนึ่งว่า เขาอยากให้ทุกคนเท่าเทียมกัน และหวังว่าต่อไปในอนาคตจะไม่ต้องมีการเรียกร้องของกลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มอื่นๆ อีก เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นอะไรก็ได้ตามที่เขาเลือก เราหวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆ เช่นกัน หากใครอยากดูซีรีส์ ‘The Best Story – ครั้งหนึ่งที่รัก’ แบบเต็มๆ สามารถเข้าไปดูได้ที่ LineTV มีครบทุกตอนแล้วจ้า
บทความที่เกี่ยวข้อง